ถนนชีวิต

ถนนชีวิต

ชีวิตคนเรา เกิดมานั้น ฟ้าได้ลิขิตเส้นทางเดินเอาไว้แล้ว หรือที่ได้ยินกันบ่อยๆว่า “ลิขิตฟ้า” ผ่านวลี อมตะ “ลิขิตฟ้า หรือจะสู้มานะตน

แล้ววลีข้างต้น จริงหรือไม่?

ผมจะลองยกตัวอย่างง่ายๆครับ ว่าลิขิตฟ้า ก็เปรียบเสมือนถนนสายหนึ่ง ที่เป็นเส้นทางจากจุดเริ่มต้น คือตอนเราเกิด ไปยังจุดหมายปลายทาง คือตอนเราจากโลกนี้ไป ผมขอเรียกง่ายๆว่า “ถนนชีวิต

ถนนชีวิตของบางคน ฟ้าให้มาแบบสวยหรู ราดยางมะตอยอย่างดี ทางเป็นเส้นตรง ไม่มีโค้งให้ต้องชะลอ วิวข้างทางสวยสดงดงาม เรียกได้ว่า “โรยด้วยกลีบกุหลาบ”

ในขณะที่บางคน ทางลูกรัง เป็นหลุมเป็นบ่อ โค้งหักศอกเต็มไปหมด วิวข้างทางเป็นบ่อโคลน กว่าจะถึงจุดหมาย เรียกได้ว่า “สะบักสะบอม” กันเลยทีเดียว อันนี้ก็แล้วแต่บุญที่ทำมาชาติก่อน

แล้วเราทำอะไรกับ “ถนนชีวิต” ของเราได้บ้าง?

สิ่งที่ทำได้อย่างแรก คือ ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา แต่ต้องขยัน พัฒนาตัวเอง เตรียมร่างกายให้แข็งแรงพร้อมเดินในทุกเส้นทาง ไม่ว่าจะขรุขระ หรือราบเรียบ และต้องมีจิตใจที่เข็มแข็ง เมื่อล้มแล้วต้องลุกให้ได้ ซึ่งก็คือ มานะตน นั่นเอง

อย่างที่สองคือ ปรับสภาพแวดล้อมรอบตัว ให้เดินสะดวกขึ้น เช่นเสื้อผ้าหน้าผม ให้พร้อมออกวิ่ง ไม่พันแข้งพันขา หรือบดบังทัศนวิสัย มีรองเท้าที่ดี ไม่ใช่รองเท้าแตะ ซึ่งทำให้เราล้มบาดเจ็บได้ สิ่งเหล่านี้เปรียบได้กับ ฮวงจุ้ย ที่ดีนั่นเอง

อย่างสุดท้าย คือ ล่วงรู้เส้นทางข้างหน้าก่อน ว่าตรงไหนเป็นหลุม ตรงไหนโค้งหักศอก จะได้เตรียมรับมือได้ถูกต้อง ซึ่งถือได้ว่า ช่วยประหยัดแรง ประหยัดเงิน และเจ็บตัวน้อยที่สุด

ยกตัวอย่างเช่น เราวิ่งมาถึงโค้งหักศอกด้วยความเร็วสูง ย่อมต้องหลุดโค้ง ออกนอกเส้นทาง บาดเจ็บกันไป ต่อให้มีความ มานะอุตสาหะ ก็ต้องเสียแรงเสียเวลา กว่าจะลุก กว่าจะกลับเข้ามาในเส้นทางได้ แต่ถ้ารู้ก่อน ว่าข้างหน้าเป็นโค้งหักศอก ก็แค่ชะลอความเร็ว ค่อยๆเดินผ่านโค้งไป แล้วค่อยเร่งสปีดใหม่ ย่อมถึงจุดหมายเร็วและปลอดภัยกว่า

ศาสตร์ดวงจีนโป๊ยหยี่สี่เถียว” จึงถือกำเนิดขึ้น เพื่อล่วงรู้ “ลิขิตฟ้า” ของแต่ละคน จะได้วางแผนรับมือได้ถูกต้องนั่นเอง

เพราะฉะนั้น “ลิขิตฟ้า หรือจะสู้มานะตน” ใช้ได้จริง แต่ ยังไม่ดีพอ

ถ้าจะไปให้สุดๆ ต้อง “ล่วงรู้ลิขิตฟ้า จัดสภาวะแวดล้อม พร้อมมานะตน” รับรอง “ไม่จน” แน่นอนครับ